10 ข้อคิดที่จะทำให้ชีวิต “มูฟออน”

หลายครั้งที่คุณพบเจอกับความเจ็บปวด ผิดหวัง และจมอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ปล่อยให้อดีตมีผลต่อปัจจุบัน จนไม่อาจก้าวต่อไปในวันพรุ่งนี้ ในแต่ละวันที่ผ่านไป คุณเอาแต่จ่อมจมอยู่กับความฝันเดิมๆ ความฝันที่ว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้

 

แต่คุณก็ยังหวังว่าความสำเร็จในอนาคตจะเป็นของคุณ บางคืนคุณนอนหลับไปพร้อมแผนการชุดใหญ่ ทว่าเมื่อตื่นเช้ามา คุณกลับเกียจคร้านเกินกว่าจะลงมือทำ และเอาแต่บอกตัวเองว่า วันนี้ยังไม่พร้อม

 

สิ่งเหล่านี้คือโซ่ตรวนที่ตรึงรั้งชีวิต ถ้าหากคุณอยากก้าวหน้าคุณก็ต้องปลดมันออก และนี่คือ 10 ข้อคิดที่จะทำให้ชีวิต “มูฟออน” ซึ่งเราแปลและเรียบเรียงส่วนหนึ่งมาจาก “103 Life Lessons People Often Learn Too Late in Life (A Little Manual For Life)” บทความที่เขียนโดย Thomas Oppong

 

หวังว่าถ้อยคำบางคำ จะพาให้คุณก้าวเดินไปอีกก้าวได้ในวันพรุ่งนี้

 

 

 

 

คุณควบคุมทุกอย่างไม่ได้ แต่คุณควบคุมการกระทำของคุณได้

มีอะไรมากมายที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเราเอง อย่าตั้งความหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปดั่งที่ใจเราคิด โดยเฉพาะการกระทำหรือความคิดของคนอื่น สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือการควบคุมตัวเอง ให้กระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร

 

 

 

 

ตัดสินใจเลือกชีวิตของตัวเอง ไม่งั้นคนอื่นจะตัดสินใจแทนคุณ

บางคนชอบโยนการตัดสินใจไปให้คนอื่น แม้จะเป็นเรื่องของตัวเองก็ตาม เพราะลึกๆ ก็อาจกลัวการต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา แต่จะเป็นอะไรล่ะ ถ้าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราได้เลือกเอง ลองไว้ใจตัวเองดูบ้าง เชื่อมั่นในทุกการเลือก ดีกว่าให้ใครก็ไม่รู้มาตัดสินใจแทน

 

 

 

 

เราไม่จำเป็นต้องเข้ากับทุกๆ คนได้ ความแตกต่างคือเรื่องธรรมดา

มนุษย์คือความหลากหลาย จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าเรา “แตกต่าง” จากคนรอบข้าง เราอาจไม่ Fit in ในกลุ่มบางกลุ่ม แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ไม่ต้องพยายามเป็นในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นเพียงเพื่อจะได้รับการยอมรับ เพราะเราแสร้งเป็นคนอื่นได้ไม่นานหรอก แถมยังเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

 

 

 

 

 

บางทีชีวิตก็มีแค่ 3 ตัวเลือก คือ ยอมแพ้ ยอมทำ หรือยอมเสียทุกอย่างไป

บางเหตุการณ์ก็ไม่เปิดโอกาสให้เราต่อรอง อย่างเช่นสถานการณ์วิกฤตในตอนนี้ ที่หลายๆ คนกำลังถูกกดดันในการทำงานอย่างหนัก สิ่งที่เราทำได้อาจมีอยู่ไม่กี่อย่าง คือยอมแพ้ซะ ปล่อยให้ตนเองถูกพิจารณาไล่ออก หรือยอมลดเงินเดือนแม้เราจะไม่ได้อยากทำอย่างนั้น ไม่ก็แข็งข้อต่อสู้ ซึ่งอาจจะทำให้เราเสียทุกอย่างไปได้ พิจารณาด้วยสติและประเมินด้วยประสบการณ์ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน อย่างน้อยคุณก็เป็นคนที่ได้เลือกเอง

 

 

 

 

เป้าหมายหรือไอเดียใดๆ จะไร้ความหมายถ้าคุณไม่ลงมือทำ

คำพูดเดิมๆ ที่เราได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนที่บอกว่า ‘ความจริงกับความฝัน ต่างกันที่การลงมือทำ ‘ ยังเป็นจริงเสมอ เราอาจคิดถึงเป้าหมาย เราอาจมีไอเดียสร้างสรรค์อยู่ในหัวมากมาย แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราไม่ลองลงมือทำให้มันเป็นจริง

 

 

 

 

อย่ามัวแต่วางแผนใหญ่โต แต่ทำได้นิดเดียว

การวางแผนเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยม แต่อย่าเสียเวลาไปกับการสร้างแผนที่ใหญ่โดนัก ถ้ามันจะกินเวลาในการลงมือทำ และทุกๆ ครั้งที่วางแผน ให้ลองคิดถึงวิธีที่จะเป็นทางลัดประหยัดเวลา หรือประหยัดแรงไว้ด้วย

 

 

 

 

อย่าเสียเวลาไปกับความกังวลหรือเสียใจในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้

เราคงคาดเดาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้ทั้งหมด บางอย่างก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา เอาเวลาที่จะคิดกังวลไปเตรียมพร้อมรับมือกับมันดีกว่า และถ้าเราทำทุกอย่างแล้ว แต่ยังควบคุมให้ผลลัพธ์ดีอย่างที่หวังไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียใจกับมันเช่นกัน ภารกิจของเราไม่ได้มีแค่อย่างเดียว เก็บเอาบทเรียนไปปรับปรุงกับงานต่อไป ดีกว่าเอาแต่เสียใจอยู่กับงานเดิม

 

 

 

 

หนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ อย่าดูถูกบทเรียนจากคนอื่น

หนังสือบางเล่มก็เป็นประสบการณ์ชั้นดีที่ถอดบทเรียนจากคนที่เคยผ่านมาก่อน ให้เราได้ลองเรียนรู้และเลือกหยิบสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้กับชีวิตตัวเอง หาเวลาอ่านหนังสือให้มากๆ และทำเป็นประจำ อย่าลืมจดบางแง่คิดไว้อ่านทบทวน จะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น

 

 

 

 

ไม่มีหรอกสูตรสำเร็จในการใช้ชีวิต มีแต่สูตรชีวิตที่คุณต้องเขียนเอง

ชีวิตไม่ใช่การทำขนม ที่แค่จัดเตรียมสูตรผสมและลงมือทำตามสูตรก็สำเร็จ เพราะคนทุกคนมีตัวแปรชีวิตต่างกัน ต่อให้เรารู้ว่าไอดอลของเราใช้ชีวิตยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเดินตามรอยเขาแล้วจะมีอนาคตที่เหมือนกัน วิธีที่ดีที่สุดคือการนำสิ่งที่เราได้เรียนรู้ มาปรับใช้กับเส้นทางของเราเอง

 

 

 

 

เรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งคำถามกับสิ่งที่คุณเชื่อ และตรวจสอบมุมมองของตัวเองเสมอ

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร อย่าหยุดเรียนรู้ อย่าเป็นน้ำเต็มแก้วที่ไม่พร้อมเติมความรู้ใหม่ๆ และอย่ายึดติดกับความเชื่อใดๆ หมั่นตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเอง รวมถึงต้องรู้เท่าทันว่าเรากำลังมองโลกอย่างไร เพื่อไม่ให้อคติบังตา บังใจ จนอาจพลาดโอกาสหรือตัดสินใจผิดพลาดได้