Jo Malone London แบรนด์โคโลญจน์และเครื่องหอม สัญชาติอังกฤษ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1994
ด้วยกลิ่นที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นไม่เหมือนใคร และถูกออกแบบให้สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ตามแนวคิด The Art of Fragrance Combining จนกลายเป็นความหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล
รวมทั้งภาพลักษณ์ที่ดูคลีน เรียบง่าย สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย จึงไม่น่าแปลกที่ Jo Malone London จะติดอันดับท็อปแบรนด์กลิ่นหอมระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้เราจึงอยากพาทุกท่านย้อนไปดูจุดเริ่มต้นของแบรนด์และผู้ก่อตั้งในชื่อเดียวกัน ที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์แล้ว แต่ความหลงใหลในการสร้างสรรค์กลิ่นหอม จึงทำให้เธอกลับมาสานต่อความฝันอีกครั้ง
เรื่องเริ่มจาก “โจ มาโลน” (Jo Malone) นักออกแบบเครื่องหอมจากสหราชอาณาจักรที่เดิมทีเป็นคนจัดดอกไม้
ความชื่นชอบในทุกสิ่งที่มีกลิ่นหอม ทำให้เธอพยายามผลิตน้ำหอมของตัวเองตั้งแต่เด็กโดยใช้ดอกไม้จากสวนของครอบครัว
แต่ธุรกิจเครื่องหอมของเธอเริ่มต้นอย่างจริงจังประมาณปี 1983 จากการผลิตน้ำมันสำหรับแช่น้ำอาบที่มีส่วนผสมของจันทน์เทศและขิง ซึ่งเดิมทีทำเป็นของขวัญขอบคุณลูกค้าเท่านั้น แต่ด้วยความชื่นชอบและกระแสเรียกร้องจึงทำให้เธอได้ผลิตขายด้วย
ในปี 1994 โจ มาโลน ได้เปิดร้านบูติกแห่งแรกในลอนดอน โดยขายตั้งแต่น้ำหอมฉีดกาย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไปจนถึงน้ำหอมภายในบ้าน
ในปี 1999 เธอตัดสินใจขายกิจการให้กับบริษัทเครื่องสำอางค์ยักษ์ใหญ่อย่าง Estée Lauder โดยตัวเธอเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ และดูแลงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Jo Malone London จนถึงปี 2006
“เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลานั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าความปรารถนาที่อยากจะสร้างกลิ่นหอมมีพลังมากเกินไปสำหรับฉัน ฉันจึงตัดสินใจที่จะลองอีกครั้ง และดูว่าตนจะสร้างมันได้อีกหรือไม่” มาโลน กล่าว
ดังนั้นในปี 2011 เธอจึงได้สร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อ “Jo Loves”
และในงาน The Retail Summit 2019 ซึ่งจัดขึ้นที่นครดูไบ เธอได้เปิดใจว่า การเริ่มต้นธุรกิจเป็นครั้งที่สองอาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งที่เธอเคยทำมา
“มันเป็นเรื่องยากเพราะไม่มีใครรู้ว่าฉันออกจาก Jo Malone London ไปแล้ว และฉันมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทั้งต่อครอบครัว ต่อตัวเอง และต่อผู้บริโภค”
“อีกด้านหนึ่งถ้าฉันไม่ทำมันต่อ ฉันคงปฏิเสธสิ่งที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข ดังนั้น ฉันต้องคิดให้แตกต่างจากเดิม”
จากการเรียนรู้ทั้งจากครั้งแรกและครั้งนี้ เธอมองว่า การสร้างทีมเป็นสิ่งสำคัญ เธอพยายามมองหาทีมที่จะสามารถถ่ายทอดข้อความของแบรนด์ไปยังผู้บริโภคของเธอให้ได้ เพราะด้วยตลาดที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน วิธีการสื่อสารของแบรนด์เกิดใหม่จึงมีผลอย่างมากต่อการทำให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าเธออีกครั้ง