“เช้าวันหยุดทั้งที แต่ตอนนี้ไม่อยากซักผ้าเลย ขอซักตอนบ่ายแล้วกัน”
“วันนี้ต้องส่งงานก่อนบ่ายสาม แต่ไม่อยากทำงานตอนเช้าเลย ไว้ทำตอนบ่ายโมงแล้วกัน”
ถ้าได้ยินใครบ่นแบบนี้เราคงมองว่า คนเหล่านั้นช่างขี้เกียจเสียจริงๆ แทนที่จะรีบทำงานให้เสร็จ กลับโอ้เอ้นั่งเล่นเอกเขนกบนโซฟา ทว่า ในบางครั้งพวกเขาเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ขี้เกียจแต่อย่างใด แต่เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจ หรือรักที่จะทำสิ่งนั้นต่างหาก
ความขี้เกียจคือสัญญาณชีวิต
การต้องทำสิ่งที่เราไม่ชอบหรือเกลียดมากๆ ทุกวันซ้ำไปซ้ำมาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากเกิดกับชีวิตการทำงานแล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ลองนึกว่าในหนึ่งวันเราได้ทำงานจริงกี่ชั่วโมง หากรู้สึกว่าการคุยกับเพื่อนร่วมงาน จิบกาแฟ เล่นโซเชียล หรือนั่งเฉยๆ บนเก้าอี้แล้วมีความสุขมากกว่าการทำงาน ความขี้เกียจที่เกิดขึ้นคือสัญญาณชี้ว่า งานที่ทำอยู่อาจไม่ใช่งานที่เหมาะกับเรา ไปหางานอื่นที่ทำแล้วชอบจะดีกว่า
ความขี้เกียจช่วยซื้อเวลากลับมา
การที่เราอยู่เฉยๆ สักหนึ่งชั่วโมงก่อนทำงานที่เราไม่ชอบ ไม่ได้แปลว่าเราทิ้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ กลับกันแล้ว มันคือการซื้อเวลาความสุขของตัวเราเองกลับมา ขณะที่การทำงานอันแสนน่าเบื่อและไม่มีความสุขคือ การขายเวลาทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์
อย่าอายที่จะขี้เกียจ
อย่างที่บอกไปว่า ความขี้เกียจนั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ดังนั้นแล้ว อย่าได้รู้สึกผิดที่จะขี้เกียจ เพราะการเอาแต่ดูถูกตัวเองว่าขี้เกียจเพราะไร้ความสามารถ หรือเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยขี้เกียจ ไม่ได้ช่วยให้หายขี้เกียจแต่อย่างใด แถมทำร้ายสุขภาพจิตอีกด้วย
มีบางช่วงที่เราจำเป็นต้องขี้เกียจบ้าง
บางครั้งความขี้เกียจก็มาในรูปแบบของความขี้เกียจจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ต้องยอมรับตัวเองว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ในบางเวลา
ในชีวิตของเรานั้น ความขี้เกียจเกิดขึ้นได้เสมอ แต่สาเหตุของความขี้เกียจนั้นส่วนมากมักเกิดจากสิ่งที่เราต้องเจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำแต่ไม่ได้ชอบ ดังนั้นหากเป็นไปได้ ลองพยายามหาสิ่งที่ชอบแล้วลงมือทำให้เต็มที่ แล้วคุณจะไม่ขี้เกียจตลอดเวลาอีกต่อไป แต่กระนั้น การขี้เกียจบ้างไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะแค่ชีวิตมันก็หนักพอแล้ว พักสักนิดก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน