ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส

1657
เมื่อ Attack on Titan ได้เปลี่ยนจากการต่อสู้ระหว่างไททันและมนุษย์ กลายเป็นอนิเมะเสียดสีโครงสร้างทางสังคม
 
*คำเตือน: บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหามังงะ Attack on Titan บางส่วน*
 
ถ้าพูดถึงอนิเมะที่กำลังเป็นกระแสมาแรงในตอนนี้ ก็คงหนีไม่พ้น Attack on Titan อนิเมะโหดเลือดสาดที่แฝงไปด้วยเนื้อหาเสียดสีสังคมต่างๆ นานา ยิ่งในซีซั่นหลังๆ แล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเนื้อเรื่องโยงเกี่ยวกับการเมืองเต็มๆ
 
“ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส” ประโยคนี้ถือได้ว่าเป็นแก่นหลักของเรื่องที่ถูกเน้นย้ำตั้งแต่ซีซั่นแรก และเป็นคำพูดที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ทั้งในบริบทของตัวละครหลักอย่าง “เอเรน” หรือทั้งในบริบทของตัวละครฝั่งตรงข้ามอย่าง “ชาวเอลเดียนที่อยู่บนแผ่นดินมาร์เลย์” ไม่ว่าจะเป็น ไรเนอร์, เบลทรูท, และแอนนี่
 
สำหรับบทความนี้ จะขอยกตัวอย่างบริบทของ “ชาวเอลเดียนที่อยู่บนแผ่นดินมาร์เลย์” มาวิเคราะห์ให้ฟังกัน
 
สำหรับคนที่เป็นแฟนตัวยงของ Attack on Titan ก็คงรู้อยู่แล้ว ว่าชาติพันธุ์หลักๆ ในเรื่องถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง นั่นคือชาวเอลเดียน และชาวมาร์เลย์
 
“ชาวมาร์เลย์” คือชาติพันธุ์ที่ปกครองแผ่นดินใหญ่ในโลกของ Attack on Titan ส่วน “ชาวเอลเดียน” จะเป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่โดยมาร์เลย์ และโดนกักกันให้อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น ไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชีวิตต่างๆ ที่ควรจะได้ ซ้ำยังโดนข่มเหง โดนเหยียดเชื้อชาติต่างๆ นานา และปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ เนื่องจากประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ชาวเอลเดียนในอดีตก็เคยกดขี่ข่มเหงชาวมาร์เลย์เช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้น ตอนนี้ชาวเอลเดียนรุ่นหลังจึงต้องรับใช้กรรมที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้แทน
 
ทางเดียวที่ชาวเอลเดียนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จะสามารถมีหน้ามีตาและได้รับการยอมรับจากสังคม ก็คือการ ‘ลุกขึ้นสู้เพื่อให้ตนเองได้รับเลือกเป็นหนึ่งในนักรบไททัน’ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การยอมเป็นทหารรับใช้ให้กับชาวมาร์เลย์
 
แน่นอนว่าคนที่เรากำลังพูดถึง คือเหล่านักรบไททันที่แฝงตัวเข้ามาในเกาะพาราดิสอย่าง ไรเนอร์, เบลทรูท, และแอนนี่ นั่นเอง
 
ในซีซั่นหนึ่งและซีซั่นสอง ทุกคนก็คงจะมองว่า สามคนนี้คือตัวร้ายที่บุกเข้ามาเพื่อฆ่าล้างบางทุกคนบนเกาะพาราดิส ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเพราะเนื้อเรื่องได้เล่าจากมุมมองของฝั่งเกาะพาราดิสอย่างเดียว แต่หากได้อ่านมังงะช่วงหลังที่เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของพวกไรเนอร์บ้างแล้ว ก็จะรู้ทันทีว่าสิ่งที่พวกไรเนอร์ทำไปไม่ใช่แค่จู่ๆ ก็นึกอยากไปโจมตีเค้าดื้อๆ แต่หากทำไปเพื่อความอยู่รอดของตนเองทั้งนั้น
 
เพราะการที่ได้รับเลือกเป็นนักรบไททัน หมายความว่าทั้งตนเองและครอบครัวจะได้รับเกียรติเลื่อนยศเป็นคนชนชั้นสูง สามารถออกมานอกบริเวณกักกันได้ และได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ในชีวิต ซึ่งตรงข้ามกับชาวเอลเดียนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
 
สำหรับไรเนอร์นั้น ไรเนอร์ตัดสินใจเป็นทหารเนื่องจากต้องการให้แม่ที่เป็นชาวเอลเดียนได้รับการอัปสถานะให้เท่าเทียมกับพ่อที่เป็นชาวมาร์เลย์ได้ (ถึงแม้สุดท้ายแล้วพ่อจะไม่ยอมรับก็ตาม) ส่วนแอนนี่ พ่อของแอนนี่บังคับให้แอนนี่ฝึกหนักเพื่อให้ได้รับการคัดเลือกเป็นนักรบไททัน โดยหวังว่าตัวเองในฐานะพ่อจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายในเมือง
 
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะตัวละครไหน ต่างก็มีวิธีของตนเองในการต่อสู้กับการกดขี่ เพื่อให้หลุดออกจากสถานะคนชนชั้นล่างทั้งนั้น หมายความว่า ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีที่ต้องการทำลายโลกเหมือนตัวโกงทั่วๆ ไป แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำเพราะสถานการณ์บังคับต่างหาก
 
ในทางกลับกัน หากชาวเอลเดียนมีสถานะทางสังคมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าชาวมาร์เลย์ ไรเนอร์ก็คงไม่ต้องกัดฟันฝืนตัวเองไปเป็นทหารทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ให้ และแอนนี่ก็คงไม่ต้องถูกพ่อบังคับให้ฝึกหนักราวกับไม่ใช่คน
 
การเล่าเรื่องให้เห็นที่มาที่ไปของตัวละครแต่ละตัวอย่างลงลึก นับว่าเป็นอะไรที่ฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากเป็นการสร้างให้ตัวละครไม่ใช่สีดำหรือขาวไปเลย แต่เป็นสีเทาเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปในชีวิตจริงแล้ว ยังเป็นการเสียดสีสังคมกลายๆ ด้วยว่า การแบ่งชนชั้นที่เกิดขึ้นทุกที่ทั่วโลก คือต้นตอดีๆ ที่ทำให้คนต้องปากกัดตีนถีบทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เพื่อสู้ชีวิตอันแสนจะสิ้นหวังนี่ซะเอง
 
ดังนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผลลัพธ์ในเนื้อเรื่องออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะโครงสร้างสังคมที่กดขี่ชาวเอลเดียนเป็นตัวบังคับให้คนกลุ่มนี้ต้องออกมาสู้ แม้ว่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ตาม
 
สรุปแล้วก็คือ มันไม่ใช่ว่าการลุกขึ้นมาสู้เป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่ออยู่รอด แต่เพราะมันคือทางรอดเดียวในการอยู่รอดต่างหาก อย่างที่เอเรนเคยพูดกับไรเนอร์ไว้ว่า “เราทั้งคู่ก็ไม่ต่างกัน เราเกิดมาเพื่อเป็นแบบนี้เหมือนกัน ส่วนฉันก็ต้องเดินหน้าต่อไป” หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเองที่ต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพเหมือนกัน
 
ใครจะไปรู้ หากเราตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับชาวเอลเดียน เราก็อาจจะทำสิ่งเดียวกับที่พวกไรเนอร์ทำก็เป็นได้
 
Author : Natcha Tarateeraparp
Illust : Arisara Wanapan
Advertisements