ยิ่งใกล้สิ้นปี และกำลังจะเริ่มเข้าสู่ศักราชใหม่ สิ่งที่เรามักพบเห็นได้อยู่บ่อยครั้งเรื่องหนึ่งก็คือ การดูดวง ที่แม้จะไม่ได้ไปดูด้วยตัวเองตามวัด ศาลเจ้า หรือสำนักทรงต่างๆ แต่อัลกอริทึมก็ยังจะส่งเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา โหราศาสตร์ มาให้เราได้เห็นตามหน้าสื่อสังคมออนไลน์อยู่บ่อยๆ
มันคงเป็นเรื่องยากหากเห็นข้อความที่ว่า “ราศีต่อไปนี้ มีเกณฑ์จะ …” หรือ “ 366 อันดับ คนดวงดีประจำปีหน้า” แล้วจะให้อดใจไม่คลิกเข้าไปดู ว่ามีราศีหรือวันเกิดของตัวเองหรือไม่
ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก ถ้าไม่เยียวยาใจ สร้างความหวังให้ในวันพรุ่งนี้ ก็คงสะเทือนใจ จนแทบจะต้องเข้าวัดทำบุญหรือหาของมาเสริมสิริมงคลกันยกใหญ่
แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการดูดวง โดยเฉพาะโหราศาสตร์ (Astrology) ศาสตร์ที่ถือได้ว่าได้รับความนิยมมากอันหนึ่ง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
จากหลากหลายความเชื่อ ให้น้ำหนักไปที่ชาวอียิปต์ ว่าเป็นคนกลุ่มแรกๆ หรือชนชาติแรกๆ ของโลกที่มีการทำบันทึกในเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของกลุ่มดวงดาว
สำหรับประเทศไทยคาดว่าได้รับเอาวัฒนธรรม คติความเชื่อ มาจากฝั่งอินเดีย ผ่านทางพม่าและมอญ โดยเหล่าพราหมณ์ นักบวช เดินทางมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนำเอาตำราติดตัวมาด้วย
ส่วนการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของโหราศาสตร์อย่างจริงจัง ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช่วงสมัยพระเจ้าปราสาททอง และพระนารายณ์มหาราช โดยโหราศาสตร์ในสมัยนั้นจะเน้นในเรื่องของการพยากรณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นหลัก และใช้กันภายในราชสำนักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ปัจจุบันกลายเป็นศาสตร์ของการพยากรณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมไปถึงดวงชะตาของคน โดยผู้ทำนายอาจเป็นใครก็ได้ที่มีความรู้เรื่องตำแหน่งและการโคจรของดาว เพื่อที่จะเอามาผูกดวงและตีความกับสิ่งอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการดูดวง เช่น ดูลายมือ กราฟชีวิต การถอดไพ่ เซียมซี หรือแม้แต่สิ่งของเสริมมงคลต่างๆ
แม้คนจำนวนมากจะรู้ว่า “อย่าไปคาดหวังอะไรมากกับดวง” โดยเฉพาะการทำนายดวงในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และสื่อออนไลน์ ที่มักจะไม่ได้ทำนายเฉพาะเจาะจงอะไรมากนัก และยังอาศัยการสรุปที่คลุมเครือ
แต่การดูดวงก็ช่วยให้ผู้คนจัดการกับความวิตกกังวลในชีวิตประจำวันได้ อย่างน้อยที่สุดก็ “วันต่อวัน” ยกตัวอย่าง คอลัมน์ดูดวงรายวัน ที่สามารถบอกได้เลยว่า คนที่เกิดวันจันทร์ จะเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง ทั้งในแง่ของการงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นักจิตวิทยาเรียกว่า Barnum effect หรือปรากฏการณ์ที่คนมักให้คะแนนความถูกต้องของคำอธิบายเกี่ยวกับลักษณะตนเองในระดับที่สูง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ปรากฏการณ์ที่เรารู้สึกว่า “มันช่างตรงกับฉันเหลือเกิน” ทั้งที่จริงแล้วเป็นประโยคหรือคำพูดที่คลุมเครือและกว้างขวางพอที่จะครอบคลุมถึงคนหลายๆ กลุ่มด้วยซ้ำ
สุดท้ายเราอยากจะฝากไว้ว่า เรื่องเหล่านี้อยู่ที่ความเชื่อและความสบายใจ ไม่ว่าคุณจะดูดวงจากสำนักไหน หรือเชื่อการใส่เสื้อ ทาลิป เปลี่ยนภาพหน้าจอเป็นสีมงคลอะไร ถ้ารู้สึกสบายใจ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ทำได้เต็มที่ หรือถ้าดูท่าทีว่าจะไม่ดี ก็ไม่ต้องเก็บมาคิดให้หนักใจ ทำตัวเองในแต่ละวันให้ดีก็เพียงพอแล้ว